Friday, October 30, 2015
อ่านแล้วจี๊ดเลย!
'ที่1'ไม่เป็นไม่ได้แล้ว
สิงคโปร์เป็นประเทศเล็กๆ ที่ไม่ยอมแพ้ใคร และไม่ชอบแพ้ชาติไหน "ดนัย จันทร์เจ้าฉาย" ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร สำนักพิมพ์ ดีเอ็มจี กล่าวตอนหนึ่งระหว่างการสัมมนาในหัวข้อเรื่อง "ก้าวเป็นที่ 1 ด้วยแรงบันดาลใจ" (Inspired Leadership) ว่า ครั้งหนึ่งเมื่อมีสื่อมวลชนถาม ลีกวนยู ว่า มองประเทศไทยเป็นอย่างไร
สิ่งที่รัฐบุรุษผู้นี้ตอบกลับมา บางที ไม่เพียงแต่ทำให้สื่อมวลชนคนนั้นอึ้ง แต่เชื่อว่าหลายคนที่ได้ดูการสัมภาษณ์ ในครั้งนั้น ต่างออกอาการ "อึ้งกิมกี่" อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
เพราะ ลี กวน ยู บอกสั้นๆ ตรงไป ตรงมาว่า "ไม่เคยมองไทยเลย..."
พร้อมกับอธิบายว่า ไทยอยู่ในภูมิศาสตร์ที่ดี เป็นศูนย์กลางทางการบิน ขณะที่สิงคโปร์เป็นศูนย์กลางการเดินเรือ ที่ผ่านมาสิงคโปร์เคยมองว่าไทยเป็นคู่แข่งอยู่พักหนึ่ง ไม่เกิน 5 ปี แต่หลังจากนั้นสิงคโปร์ก็รู้ดีแก่ใจว่า ไทยไม่สามารถแข่งขันกับสิงคโปร์ได้ เพราะโครงสร้างการศึกษา ยังไม่เอื้ออำนวยให้คนไทยมีคุณภาพคับแก้ว
"เรากำลังถูกประเทศต่างๆ ดูถูกย่ำยี" ดนัยบอกด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความรู้สึกยากจะบรรยาย
เกาะสิงคโปร์มีขนาดเท่ากับ จ.สระแก้ว ประชากรก็น้อยกว่าไทยหลายเท่า แต่ขีดความสามารถในการสร้างประเทศให้จิ๋ว แต่แจ๋ว นับวันก็ยิ่งทำให้ไทยถูกมองว่า ช่างอุ้ยอ้าย เทอะทะ จนไม่ใช่คู่เปรียบมวย ในเวทีเดียวกัน แม้แต่เวทีอาเซียนเอง ก็ยังไม่ได้อยู่ในความสนใจของสิงคโปร์มากนัก
"ตอนเป็นเด็ก ผมไม่เคยคิดว่าจะเป็นสิ่งที่เป็นไปได้ ที่ไทยเราทุกวันนี้กำลัง แข่งขันกับเวียดนาม ลาว และเมียนมา เวียดนามเองก็เป็นประเทศที่ไม่ยอมแพ้ ใคร วันนี้ประเทศไทยยังมีขีดความสามารถในการแข่งขันดีกว่าเวียดนาม แต่ข่าวร้ายคือเราจะดีกว่าเวียดนามได้อีกไม่นาน ทุกวันนี้ประเทศที่ได้ฉายาว่าเป็นคนป่วยแห่งเอเชีย (sick man of Asia) คือฟิลิปปินส์ แต่อีกไม่นานไทยเราจะ ก้าวขึ้นมาเป็นคนป่วยแทนฟิลิปปินส์"
เขากล่าวว่า มีหลายๆ สัญญาณที่เริ่มแสดงตัวเด่นชัดว่า ไทยใกล้จะเป็นประเทศ ที่ล้าหลังที่สุดในอาเซียน ต่อให้ประเทศไทยยังไม่ได้แพ้ให้กับฟิลิปปินส์ในวันนี้ เพราะความตกต่ำของฟิลิปปินส์มาจากผู้นำ มาร์กอสเป็นคนดึงประเทศลง ขณะที่ไทยไม่มีใครฉุดรั้งประเทศให้ลงที่ต่ำ มีแต่คน ในประเทศที่ดึงตัวเองลงมา
ปี 2557 ที่ผ่านมาประเทศไทยเติบโต สูงขึ้นเป็นอันดับสุดท้าย 0.9% พอมาปี 2558 นี้เติบโตสูงขึ้น 2.5% ซึ่งเติบโตน้อยที่สุด ในอาเซียน และคาดการณ์ว่าในปีหน้า 2559 จะเติบโตสูงขึ้น 2%
"ต่อไปไทยเราจะเติบโตได้มากสุดประมาณนี้" ถ้าเปรียบเป็นความสูง ประเทศไทยคงสูงได้แค่กลางๆ ไม่สามารถสูงใหญ่มีกล้ามเนื้อได้มากๆ เหมือนใครเขา
อีกเรื่องที่น่าตกใจสำหรับดนัย เจ้าของสำนักพิมพ์ที่ผลิตองค์ความรู้สู่สาธารณชน ก็คือ เด็กไทยมีคะแนนสอบทุกวิชามีค่าเฉลี่ย 40 กว่าๆ จากเต็มร้อย ถือเป็นคะแนนปริ่มน้ำที่แทบจะพังกันไปทั้งระบบการศึกษา ทั้งๆ ที่เมืองไทยใช้งบประมาณทุ่มเทให้กับการศึกษามากเป็นอันดับต้นๆ ของเอเชีย
ถ้าเป็นภาษาวัย gen Me ยุคนี้ต้องบอกว่า "ช็อคแพร๊บบ... นึง" เพราะระดับคุณภาพทางการศึกษาของพี่ไทย กำลัง ช่วงชิงแข่งกันลงข้างล่างกับเวียดนามและเมียนมา
เรื่องที่คนไม่ค่อยรู้ก็คือ ก่อนหน้านี้ เมียนมาได้ลงทุนควักกระเป๋าอันบางเฉียบ ว่าจ้างเยอรมันให้มาช่วยทำวิจัยกลุ่มประเทศในอาเซียน โดยมีโฟกัสอยู่ที่ ประเทศไทย และสิงคโปร์
ดูเผินๆ เหมือนกับว่า เมียนมากำลัง benchmarking เปรียบมวยกับไทยและสิงคโปร์ แต่เอาเข้าจริงแล้ว เป้าหมายของเมียนมาคือ อยาก สวย เริ่ด เชิ่ด หยิ่ง แบบสิงคโปร์ และมองไทยเอาไว้เตือนตน (lesson not to learn) ว่า อย่าได้ริอ่านเอาเป็นแบบอย่างทีเดียวเชียว เพราะเป็นตัวอย่างที่ไม่สมควรทำตามในทุกเรื่อง ตั้งแต่โครงการจำนำข้าว รถยนต์คันแรก และอื่นๆ อีกมากมาย ที่ถือเป็นความล้มเหลวของประเทศ
แต่ไม่ว่าอย่างไรก็แล้วแต่ เมื่อเรา ไม่สามารถย้ายประเทศไทยไปอยู่โซนยุโรป เพื่อสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีผิดหูผิดตาแบบสวิสเซอร์แลนด์ได้ หัวใจของการแข่งขัน ในศตวรรษที่ 21 จึงยังไม่สายเกินไปที่ไทยเราจะดึงพลังความคิดสร้างสรรค์จากสมองที่มีน้ำหนัก ตัวเพียง 1.5 กิโลกรัม เอามาเป็นแม่แรงยกระดับความสามารถของชาติไม่ให้เตี้ยติดดิน (เพราะไหนๆ ไทยเราก็ไม่ได้สูง ไปมากกว่านี้อีกแล้ว)
"วันนี้ไทยเราจะแข่งขันได้ ต้องแข่งกันที่สมองซีกขวา ซึ่งเป็นโหมดของความคิดสร้างสรรค์" ดนัยพูดด้วยความกระตือรือร้น
ทุกวินาทีจากนี้เอเชียคือเศรษฐกิจใหม่ของโลก หมดยุคของแบรนด์ดูดีมีชาติตระกูลจากตะวันตก เพราะนับวันกระแสสินค้าท้องถิ่น กำลังปลุกวิญญาณวิถีแห่งวัฒนธรรม ไม่ใช่แบรนด์เดียวแล้วใช้กัน ทั้งโลก แต่เป็นความหลากหลายของแบรนด์ ดั่งสายน้ำที่ไหลรวมกันเป็นสายใหญ่
"สิบปีที่ผ่านมา ไทยหายไปจากสปอตไลท์ของโลก เราได้ขึ้นชื่อว่าเป็นประเทศที่คนชอบใช้ไลน์มากเป็นอันดับ 2 ของโลก เราขึ้นทำเนียบสังคมของนักช้อป แต่เราไม่เคยติดอันดับหนึ่งในประเทศ นักคิด ไม่เคยอยู่ในสังคมของนักคิดเลย สิ่งที่เราควรทำจากนี้คือ benchmarking แบบเดียวกับที่เมียนมามีสายตาไว้มองสิงคโปร์"
การฉุดประเทศไทยออกจากหลุมดำ อันดับแรกต้องหัดช่วยตัวเองก่อน แทนที่จะทำตัวเองเป็นสังคมช่างอ่อนแอในหลายเรื่อง ก็ฝึกความเข้มแข็งให้ตัวเองผ่านการขับเคลื่อนนวัตกรรม IDE (Innovation Driven Enterprise) และนวัตกรรมจะงอกเงยขึ้นมาได้ จากการเพิ่มเซลส์สมอง ให้มากขึ้น ยิ่งทำให้แตกตัวได้มาก ความฉลาดก็จะยิ่งมากตาม โดยไม่ต้องกิน โอเมก้า 3
"เราสามารถเพิ่มเซลส์สมองจากการพัฒนาสมองซีกขวาซึ่งเป็นเรื่องของความคิด สร้างสรรค์ สมองซีกขวาจไม่ประเมิน ไม่ตัดสิน ไม่ฟันธง yes, no, ok ขณะที่สมองซีกซ้ายจะอยู่กับร่องกับรอย ยึดแม่แบบตำรา อยู่กับกฎระเบียบ สมองซีกขวาชอบออกนอกกรอบ ชอบอยู่กับอะไรใหม่ๆ แต่สมองซีกซ้ายชอบอะไรตรงๆ"
เขาบอกว่า เราสามารถทำตัวเองให้ฉลาดขึ้นได้ ด้วยการใช้ทักษะของสมอง ทั้งสองซีกให้สมดุลกัน ฝ่ายไหนมากกว่า ก็ให้มาเพิ่มอีกฝ่ายที่น้อยกว่า ให้หัดทำ ในสิ่งที่ไม่เคยทำ เช่น เคยใช้มือขวา ตักข้าวเข้าปาก ก็ให้มือซ้ายมาทำงาน แทนบ้าง นอกจากนี้การฝึกสมาธิก็เป็นเครื่องมือสำคัญ ที่ช่วยจัดระเบียบการทำงานของสมอง
"วอลล์สตรีท เจอร์นัล ออกมาฟันธงแล้วว่า สมาธิคือกุญแจสร้างความสำเร็จ แม้แต่กูเกิลเองยังมีทางเดินจงกรมให้พนักงาน ขณะที่ซิลิคอน วัลเลย์ ก็ออกแบบสมาธิให้เป็นวัฒนธรรมองค์กร ไม่ใช่ทำอะไรแบบผิวๆ"
สุดท้ายแล้วการทำชีวิตให้ประสบ ความสำเร็จ หรือการสร้างชาติให้มีเศรษฐกิจที่ดี จุดหมายปลายทางคือ การสร้างความสุข ร่วมกัน ซึ่งสำคัญกว่าการเติบโตทางเศรษฐกิจ
ข้อดีของการเป็นที่ 1 คือ สามารถ ยืนอยู่ได้โดยไม่มีใครบัง และการไม่คิด ผลักดันตัวเองให้เป็นที่ 1 เราอาจจะต้องชะเง้อคอยาวผ่านหัวไหล่ใครอีกหลายคน เพราะฉะนั้นแล้ว การตั้งธงเป็นที่ 1 แล้วจะได้ที่เท่าไหร่ถือว่าดีทั้งนั้น สำหรับทุกความพยายามที่มีจริงๆ ไม่ใช่ความเหลาะแหละ...
เรียบเรียงจากงานสัมมนา ก้าวเป็นที่ 1 ด้วยแรงบันดาลใจ (Inspired Leadership) จัดโดย สำนักพิมพ์ดีเอ็มจี กลางเดือน ต.ค. 2558 ที่ผ่านมา ณ โรงแรมอโนมา ราชดำริ กรุงเทพฯ
'ความตกต่ำของฟิลิปปินส์ มาจากผู้นำมาร์กอสเป็นคนดึงประเทศลง ขณะที่ไทยไม่มีใครฉุดรั้ง มีแต่คนในประเทศ ที่ดึงตัวเองลง'
•นสพ.กรุงเทพธุรกิจ หน้า 20 วันที่ 29 ตุลาคม 2558
Subscribe to:
Post Comments (Atom)
No comments:
Post a Comment